เทศน์เช้า

คบระบบคบความจริง

๒๕ ต.ค. ๒๕๔๒

 

คบระบบคบความจริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนไปทำบุญกันมาก ไปทำบุญตักบาตรเทโว เพราะว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเปิดโลก ไปเทศน์โปรดมารดาลงมาแล้วเรามาทำพิธีกัน ตักบาตรเทโวเหมือนพระพุทธเจ้าเสด็จออกมาจากดาวดึงส์ นั่นน่ะเป็นพิธีกรรม พิธีกรรมการทำบุญ พระพุทธเจ้าลงมา เลียนแบบคือก๊อบปี้ไง

ถ้าเราทำบุญเราก็ว่าได้บุญ เพราะทำบุญตามแบบที่พระพุทธเจ้าทำไว้ แต่มันเป็นประเพณี เห็นไหม ประเพณีได้บุญไหม? ได้บุญนะ บุญตามประเพณีนั้นเพราะทำตามนั้น แต่ความเข้าใจของเราว่าอันนั้นเป็นแค่ประเพณีแล้วมันเข้าถึง บุญเป็นบุญ บุญก็มีละเอียดขึ้นไป นักปฏิบัติถึงว่าเอาแค่ประเพณี ปฏิบัติไม่ได้ มันยังต้องลึกกว่านั้นเข้าไปอีกไง

***********************************************************************

ของเรามันมีทาน ในศาสนาเราสอนเรื่องทาน สอนเรื่องศีล แล้วถึงสอนเรื่องภาวนา พื้น ๆ ของทานอยู่ในขอบเขตของทาน จะสละได้ขนาดไหนก็เป็นเขตของทาน

แม้แต่พระเวสสันดรสละแม้แต่กระทั่งลูก สละแม้กระทั่งเมียก็เป็นทาน นั่นขอบเขตของทาน จะทำใหญ่โตมหาศาลขนาดไหนก็เป็นขอบเขตของทาน แต่ขอบเขตของทานนะ ถ้ามีคนรู้จักพัฒนาเป็น การสละออกไปนี่มันสละได้ ความตระหนี่ ความโกรธ ทำไมเราสละไม่ได้ล่ะ นี่ทานมันถึงกระเทือนถึงใจเหมือนกันเพราะความตระหนี่ หรือว่าเราคิดนี่มันกระเทือนถึงใจ แต่มันเป็นขอบเขตของทาน ขอบเขตของศีล ศีล จะรักษาศีลได้ดีขนาดไหน ศีลมันก็ทำให้เราเป็นแค่วัตถุชิ้นหนึ่งเหรอ เห็นไหม มีศีลต้องมีธรรม ทาน ศีล ภาวนา

ตอนภาวนายกขึ้นภาวนา เห็นไหม ทำบุญตามพิธีกรรมนี่ตักบาตรเทโวได้บุญในเขตของทาน มันเป็นพิธีกรรมนี่นา แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องมีอย่างนั้นหนหนึ่ง มาฆะฯ ก็มีหนหนึ่ง ตามประเพณีพระพุทธเจ้ามีทุกพระองค์เลย แล้วก็จะเทียบกันว่าบารมีของพระพุทธเจ้าใครใหญ่กว่าเล็กกว่า เห็นไหม ของเรา ๑,๒๕๐ องค์ แต่บางทีถึง ๘๐,๐๐๐ องค์ แล้วอายุก็ต่างกัน นั่นคือการสะสมมาของบุญ ของทานนี่แหละ ทานให้ผลอย่างนั้น แต่ทานนี้มันก็ขับเคลื่อน

รถนี้มาเพราะน้ำมัน น้ำมันหมดรถมาไม่ได้ น้ำมันขับเคลื่อน บุญกุศลนี่บุญกุศล แต่การปฏิบัตินี่เพื่อละทั้งบุญและบาป ถ้าบุญเป็นความสุข เราภาวนาเข้าไปเป็นสมาธิเป็นความสุข เวลาจิตเราสงบเข้าไปเป็นสมาธิ อันนี้มันก็ไปอยู่ใน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันอยู่ในสิ่งที่มันเป็นไตรลักษณ์ทั้งหมด สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องแปรปรวนหมด

พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์ แม้แต่ร่างกายของพระพุทธเจ้าก็ต้องดับขันธ์ในคืนนี้ คืนนี้จะปรินิพพาน” พระอานนท์เสียใจมาก “อานนท์เราสอนเธอแล้วไม่ใช่หรือ..” สิ่งใดในโลกนี้จะมีคุณค่าเท่ากับหัวใจของพระพุทธเจ้า แต่ก็ต้องสละทิ้งร่างกายไป จนหัวใจนั้นหลุดไปเป็นอนุปาเสสนิพพานคือสิ้นกิเลสมา มีร่างกายมาด้วยก็ต้องแบกกันไปเป็นภาระอย่างยิ่ง พวกเราไม่ใช่อย่างนั้น พวกเราเหมือนเครื่องยนต์กลไก คือว่ามันเป็นอันเดียวกัน มันแยกไม่ออก แต่พระพุทธเจ้าแยกออกระหว่างคนขับรถกับรถ ร่างกายนี้เป็นรถใช่ไหม แต่หัวใจพระพุทธเจ้านี้เป็นคนขับรถ คนขับรถกับรถมันแยกกันได้ รถจอดคนขับก็ออกมาสิ

แต่ของเรานี่อยู่ในรถแล้วขังตัวเองในรถเลย ไปไหนไม่ได้อยู่กับรถ นี่ถึงว่าไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น พวกเรานี่เป็นปุถุชน แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้านะ วันที่ตรัสรู้ขึ้นมานี่แยกระหว่างคนขับรถ แยกออกจากกันได้ นั่นน่ะเวลาถึงวันสุดท้ายต้องมาสละรถนั้นทิ้งอีกทีหนึ่ง ถึงบอกว่า “แม้แต่ร่างกายของเราต้องตายในคืนนี้” สอนพระอานนท์ไว้ พระอานนท์เสียใจมากจะดึงไว้

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สิ่งทั้งหลายนี้เป็นอนัตตาทั้งหมด มันต้องแปรสภาพทั้งหมด แม้แต่ทำสมาธิก็เหมือนกัน มันต้องเป็นอนัตตา ถ้าไม่เป็นอนัตตานะ ทุกคนขี่รถมาที่นี่ แล้วลงมาทำไม ทำไมไม่อยู่บนรถล่ะ ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในใจแล้วยึดไว้มันสละได้อย่างไร ธรรมทั้งหลายที่เราพยายามสร้างขึ้นมา เราก็ต้องสละทิ้งนะ

ถ้าเป็นวัตถุเราต้องแสวงหา แล้วทำบัญชีเก็บไว้ว่าจะได้มากขนาดไหน แต่หัวใจมันยิ่งสละเท่าไหร่มันยิ่งได้มาก สละ เห็นไหม ตำราศึกษาวิชาการมา เราเรียนมาขนาดไหนมันไปเกะกะใคร มันอยู่ในสมองเราใช่ไหม แต่วัตถุมันต้องมีที่เก็บ ที่มันจะหาย แต่ความคิดนี้ไม่ต้องมีที่เก็บ ธรรมยิ่งกว่านั้นอีก เพราะธรรมมันต้นของความคิดไง ธรรมละเอียดกว่าความคิดอันนั้นอีกนะ นั้นความคิด เห็นไหม ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้ ศรัทธานี่เป็นความเชื่อ ศรัทธานี้ดึงโยม ศรัทธานี้ถ้าเป็นปุถุชนนะ ศรัทธานี้เป็นสมบัติเลิศที่สุด ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อ จะดึงโยมมานั่งอยู่นี่กัน ศรัทธาความเชื่อดึงมา

ความเชื่ออย่างเดียวแก้กิเลสได้ไหม? ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ต้องภาวนาเข้าไป ตั้งแต่มีศีล มีสมาธิ แล้วก็มีปัญญา ปัญญาต่างหากแก้กิเลสได้ แต่ถ้าเป็นปัญญาไม่มีสมาธิก็ปัญญาตรึกเอา ก็แก้กิเลสไม่ได้อีกล่ะ ปัญญาขนาดไหนก็หมุนอยู่ในโลกนั้น เห็นไหม มันถึงว่า ตรงนี้ครูบาอาจารย์จะชี้ให้เข้ามรรคได้ไง ให้เข้ามรรค ให้เข้าพอดีให้หมดไง ศีลก็พอดี ความดำริก็พอดี ดำริอยากได้ แต่ไม่ได้ทำ

ความเพียรอุกฤษฏ์ พระพุทธเจ้านะ มีคนมาถามพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล เขาประพฤติ พวกเสนิยะอเจละ ประพฤติแบบสุนัข กินอยู่แบบสุนัข ทำตัวแบบสุนัขทั้งหมดเลย เข้าใจ เห็นไหม เข้าใจว่าผิด เข้าใจว่าอันนี้ทำแล้วมันจะดี มันจะหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ อุกฤษฏ์ไหม กินเหมือนสุนัข ทำตัวเหมือนสุนัขเลย ทำอุกฤษฏ์มากในหลาย ๆ อย่าง ในที่ว่าลัทธิต่าง ๆ แต่ไม่ใช่ทางจะพ้นทุกข์ เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ มคฺค อริยสจฺจํ นี้เกิดจากภายใน ถึงว่าพอจิตมันสงบเข้ามา จิตสงบนั้นก็เป็นบุญ บุญกุศลมันถ่วงไหม ของยังต้องมีเก็บ น้ำมันต้องมีถังเติม เติมเต็มถังแล้วจะใส่อะไรต่อไป

อาจารย์มหาบัวบอกว่า สมาธินี้น้ำเต็มแก้วไง มันแค่เต็มแก้วเท่านั้นแหละ น้ำมันเต็มแก้วมันมีวันแต่จะยุบตัวลง ไม่มีเพิ่มขึ้นหรอกเพราะมันล้นไป เพิ่มก็ล้นไป ๆ นี่ขอบเขตความสงบของสมาธิ มันถึงต้องมีปัญญาเข้ามา ปัญญาเท่านั้นจะทำให้ตรงนี้มันเวิ้งว้างไป ให้น้ำก็เวิ้งว้าง ให้แก้วก็เวิ้งว้าง ใส่ได้หมดไง ปัญญาเท่านั้น ถึงพอเป็นสมาธิแล้วต้องดูความเคลื่อนไหว

ความเคลื่อนไหวของใจ มันติดอยู่ในอะไรล่ะ มันติดอยู่ในกายนี้ หรือว่าความคิดที่มันติดอยู่ในอารมณ์เองนั้นล่ะ มันเห็นไม่ได้ มันก็ต้องเห็นร่างเงาต่อของมันไปก่อน นี่เห็นร่างเงาของมันไปก่อน อันนี้ไม่ใช่ความเชื่อ ความเชื่อเป็นความเชื่อ ความเชื่อเป็นความจงใจ มีความจงใจ มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ แต่ความเข้าไปเห็นจริง รู้แจ้ง ศรัทธานี่ดึงมา ศรัทธานี้รู้ตาม ความคิดเรารู้ตามหมด ความรู้ตามไปจนเท่าทัน

อาจารย์มหาบัวเห็นบอกว่า ตามหาตัวโคต้องเดินตามรอยโคไปไง รอยของโคถ้าเราไม่เดินตามรอยของโคไป เดินตามไปจนถึงตัวโค รอยของโคไม่มีความหมาย แต่ถ้าไม่มีรอยโคก่อน โคก็อยู่ส่วนโค เราก็อยู่ส่วนเรา แต่ตอนนี้เราเห็นรอยโค จิตมันเริ่มสงบ พอจิตเริ่มสงบเราเห็นรอยโค แต่ตัวโคยังไม่เจอนี่ เราก็ต้องเดินตามรอยโคนั้นเข้าไปหาตัวโคนั้น ตัวโคก็ตัวใจไง ตัวใจคือตัวตัวกิเลสไง

ศรัทธา บุญกุศลวันตักบาตรเทโวนี่เป็นบุญกุศล ประเพณีเป็นประเพณี ทุกอย่างนั้นเป็นประโยชน์มากสำหรับคนที่ว่าเขายังต่ำกว่านั้น มันชักให้คนสูงขึ้นมาได้ แต่เราสูงขึ้นมาแล้วเราข้ามจากประเพณีนิยมมา เห็นไหม มาทำความจริง ทำความรู้แจ้งในใจ ประเพณีนิยม ขอบเขตของทานก็คือทาน ขอบเขตของศีลก็คือศีล ขอบเขตของภาวนา แต่มันหนุนกันนะ มันเกื้อหนุนกันขึ้นมา มันเกื้อหนุนจากมีทานขึ้นมาถึงจะได้มาถือศีล มันมีความศรัทธา มันเกื้อหนุนกันขึ้นมา

แต่พอเราจะสูงขึ้นไป เราไปติดอันล่าง มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ถ้าเราติดอยู่บันไดขั้นที่หนึ่ง เราไม่สามารถก้าวขึ้นบันไดขั้นที่สองได้ เราไม่ก้าวขึ้นไปขั้นที่สาม ขั้นที่สี่ขึ้นไป เราจะถึงข้างบนบ้านไม่ได้ นี่ก็เหมือนกันเราศรัทธา เรามีความเชื่อนี่ปัญญามันเกิดขึ้นมา มันพัฒนาให้เราเป็นชาวพุทธประเภทไหน เป็นชาวพุทธกลุ่มไหนไง ชาวพุทธในระหว่างของทาน ชาวพุทธที่เจริญตัวเองขึ้นมา นี่วุฒิภาวะของใจ ความเข้าใจไง ถ้าคนไม่รู้เลยเห็นตักบาตรเทโวนี่จะซึ้งมาก จะอยากทำมากเลย

แต่ถ้าคนที่เขาขึ้นถึงแล้วนะ ให้ทานแล้วภาวนา ทำใจให้สงบ แล้วเห็นอันนั้นเป็นบาทฐานขึ้นมา ไปเห็นเข้าใจ ไม่ได้ติไม่ได้เตียน แต่ว่าเวลาของเรามันมีน้อย เราจะทำอย่างไรให้ใจเราสงบขึ้นมาได้ พยายามควบคุมใจของเราไม่ให้ไปเกาะเกี่ยวกับอย่างนั้นไง

แต่เดิมของเรา คนที่ว่าเคยใช้ชีวิตแบบมหรสพสมโภช ดูเข้าไปตามปกติไม่รังแกเขา คนนั้นเป็นคนดีไหม คนที่อยู่กินทางโลกปกติ ไม่ได้ทำร้ายใคร คนนั้นต้องเป็นคนดีสิ แต่พอถือศีล ๘ ขึ้นมา ศีล ๘ ว่าห้ามดูการขับร้องฟ้อนรำ ห้ามนอนในที่สูง เพราะอะไร เพราะมันจะติดสุข นี่ศีล ๘ นี่คนดีก็ดีระดับนั้น แต่พอศีลเข้าไปนี่ ห้ามฟังเครื่องขับกล่อมดนตรีไง เพราะอะไร เพราะมันเป็นบ่วงของมารไง พอมีเสียงตรงข้ามระหว่างหญิงกับชาย มันก็อยากจะฟัง ยิ่งขับกล่อมนะ โอ้โห! จะน้ำตาไหลนะ แหม ทางโลกเขาว่าเข้าถึงเนื้อเพลงไง

แต่ทางเรา โส จ ปริเทวิ จ ความใคร่ครวญรำพันไง เป็นความทุกข์อันหนึ่ง เห็นไหม แต่ทางโลกเขาบอก แหม ศิลปินคนนี้เข้าถึงๆ มันเป็นความทุกข์ เราฟังแล้วเราก็ทุกข์ตามไป ถือศีล ๘ ศีล ๘ ไม่ให้ล่ะ นี่พัฒนา วุฒิภาวะของใจสูงขึ้น ความสูงขึ้นอันนี้มันก็ว่าเราสูงขึ้น สูงขึ้นจากภายในไม่มีเกจ์วัดกัน ไม่มีสิ่งใดวัดกัน วัดกันที่ใจเรานี่ สูงขึ้นคือใจมันสุขขึ้น สูงขึ้นคือความเข้าใจขึ้น สูงขึ้นคือการปล่อยวางได้ เห็นไหม

นิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎก “อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า” รู้ครบ พระพุทธเจ้ารู้ทั้งโลกนอกโลกใน รู้ถึงไตรภพ จักรวาล สามโลกธาตุ แค่โลกเราโลกเดียวนี่ยังค้นคว้ากันไม่จบ แต่นี่รู้ครอบนะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เวิ้งว้างไปหมด แต่ไม่พูด เฉย นี่นิ่งอยู่แล้วมันทรงตัวไง ความเข้าใจหมดแล้วมันจะติดอะไร มันไม่ติดอะไรเลย มันปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง นี่ไง ธรรมถึงเหนือโลกไง

ธรรมเหนือโลกเพราะธรรมนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ ธรรมชาตินี้มันก็แปรปรวนไปตามธรรมชาตินั้นนะ ธรรมเหนือโลกหมายถึงว่าเข้าใจธรรมทั้งหมด เข้าใจ ธรรมข้างนอกนะ โลกนี้ โลกคือวัตถุก็เข้าใจ โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือภายในที่หมุนตายเกิด นี่ก็เข้าใจ หัวใจที่ต้องขับเคลื่อนไปตายเกิดก็เข้าใจ เห็นหมดไง หลอกไม่ได้เลย หลอกธรรมเหนือโลกไม่ได้เลย

แต่ถ้าเป็นเข้าใจทางโลกเขา ศึกษาเท่าไหร่มาก็สอนไว้ให้คนเดินตาม เดินตามขึ้นมาเพื่อจะวิเคราะห์วิจัยต่อไป เพราะมันยังไม่มีที่สิ้นสุด งานของโลกคืองานที่ไม่มีความที่สิ้นสุด งานของธรรมคืองานการจบสิ้นของใจ ใจดวงนั้นหมดสิ้นจากกิเลสทั้งหมด ใจดวงนั้นดวงใดก็แล้วแต่ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เพราะธรรมนี้เป็นของสาธารณะ ธรรมนี้เป็นของกลาง บุคคลสาธารณะ ธรรมสาธารณะ

แต่ของส่วนตัวเรายังสงวน ของสาธารณะเรายังเอาไว้ไม่ได้เลย ของส่วนตัวคือสมบัติส่วนตนไง สมบัติของเรานี่เราหาได้ อะไรได้ ผู้มีปัญญาดึงเอาในโลก ในโลกเขามีอยู่แล้ว เราจะหาเข้ามาเท่าไหร่ก็ได้ หาเข้ามา แต่อันนี้แสงของพระจันทร์ เห็นไหม ร่มเย็นผ่องใส แล้วแสงของใจ ใจเรามันมืดบอด มันไม่เคยเห็นคุณงามความดีของการนิ่งอยู่แล้ววางเฉยอันนี้ไง

นิ่งแล้ววางเฉยเป็นความสุขอย่างยิ่ง สุขใดจะเท่ากับความสงบไม่มี แต่ความสงบจากกิเลสนะ ไม่ได้ความสงบจากสมาธิกดหัวกิเลสไว้เฉย ๆ นะ ความสงบความสุขเกิดขึ้นจากกดหัวกิเลสไว้เฉย ๆ มันจะทุกข์มากต่อเมื่อกิเลสมันเสื่อม ทุกข์จริง ๆ เหมือนมหาเศรษฐีไง มหาเศรษฐีเงินหมดไปนี่แล้วจะไปทำเริ่มต้นประกอบอาชีพใหม่ มันไม่อยากทำเพราะอะไร เพราะเราเคยมีมากกว่านั้นมหาศาล แล้วต้องมาเริ่มต้นใหม่ไง นี่ไงพอจิตเสื่อมไปจากสมาธิ

ถ้าความสงบความสุขของจิตเสื่อมสมาธินั้น สุขชั่วคราวไง สุขเพื่อจิตมันจะสงบอยู่ แต่ถ้ามันเสื่อม คือว่ามันเป็นธรรมชาติของมัน สิ่งใดเจริญแล้วมันต้องแปรสภาพ ไม่มีคงที่ สิ่งคงที่ไม่มี เว้นไว้นิพพานอย่างเดียว ไม่มีเลย แม้แต่อกุปปธรรม เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อกุปปธรรมมีดวงตาเห็นธรรม แต่ก็เจริญขึ้นไป เห็นไหม

อกุปปธรรมคือไม่ต่ำลง แต่สูงขึ้นตลอด สูงขึ้นได้ไม่ต่ำลง อกุปปธรรมเป็นชั้น ๆ ไป อกุปปธรรมตั้งแต่โสดาบัน สกิทา อนาคา อกุปปะ ไม่ต่ำลงมา แต่ขึ้นได้ ยังสูงขึ้นไปได้จนถึงสุดสิ้นของอกุปปธรรมแท้ ๆ คือว่าหมดสิ้นจากกิเลสไปนั้นคือความสงบแท้ไง ไม่แปรสภาพ ไม่แปรใด ๆ ทั้งสิ้นแต่รู้อยู่ รู้นะ ไม่ใช่ว่าสงบจนแบบว่าไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่ใช่ สงบนิ่งรู้อยู่ รู้หมดเลย แต่มันเหนือทุก ๆ อย่าง กลับไม่พูดไง พูดออกมาแล้วมันเป็นไปไม่ได้ ๆ สิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไม่ได้ ทำไมพระพุทธเจ้าสอนล่ะ พระพุทธเจ้าสอนคนมีกิเลสนะ คนมีกิเลสก็พูดอย่างนี้ ส่งนี้จะเป็นไปไม่ได้ ๆ นี่คือการเริ่มต้นสาวหัวใจเข้าไปไง

นี่การจะเห็น รูปแบบ เริ่มตั้งแต่ทานมา รูปแบบตั้งแต่ข้างนอกเห็นไหม การเป็นรูปแบบมันเป็นก๊อบปี้ไง มันไม่เป็นปัจจุบันธรรม ไม่เป็นปัจจุบัน เราจะก๊อบปี้ขนาดไหนนี่มันก็เคลื่อนมันไม่ลงตัวพอดีไง ความลงตัวพอดีก็มัชฌิมาปฏิปทา เราต้องตั้งใจของเราให้ดี ตั้งใจของเรานะ ตั้งใจแล้วสังเกตเอง เพราะว่ามันเป็นอัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีใครสามารถบอกว่ามันซุกอยู่ในเหลือบไหนของใจหรอกกิเลสน่ะ เราต้องพยายามตั้งใจแสวงหาเอาเอง ต้องตั้งใจดู สังเกตเอาเองด้วยสมาธิของเรา แล้วเราจะเจอตัวนั้นเข้าไป นี้คือการปฏิบัติในการเริ่มต้น ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นไป

พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว หมด มันเป็นมรรคภายในเกิดขึ้นมาได้ไง ตั้งใจตรงนี้แล้วจะเป็นไปได้ นี่คือธรรมแท้ไง นี้คือธรรมจากประสบจริงไง รู้แจ้งในหัวใจ ธรรมอยู่ที่ใจ ธรรมไม่ได้อยู่ที่ต่าง ๆ แต่อาศัยวัตถุ อาศัยสิ่งของเข้าไปหาไง นี่เหมือนกับหาเพชรที่บนหัว ที่หน้าผาก เอาเพชรผูกเอาไว้ที่หน้าผากแล้ววิ่งไปทั่วโลกเลย ไม่เคยเจอ เพราะมันอยู่ที่หน้าผาก

นี่ก็เหมือนกัน ทำบุญทำกุศลทำไปทั่วเลย จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ใจ อาจารย์มหาบัวบอกธุดงค์ไปทั่วประเทศ อ๋อ สุดท้ายแล้วก็ดับลงที่ใจของตัว แต่ก็ต้องธุดงค์ ธุดงค์ออกไปเพื่อให้มันทุกข์ยากเปรียบเทียบเข้ามา นี่ก็เหมือนกัน เพชรมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่หน้าผาก เราหามันไม่เจอ บุญกุศลนี้ก็สร้างขึ้นมานี่ ได้ฟังขึ้นมา ไปหาอาจารย์องค์ไหนก็บอกหน้าผากเอ็งไง นี่ฟังธรรม หน้าผากก็ชี้มาที่เพชรนั่นไง จนกว่าจะ อ๋อ ถ้าไม่อ๋อ หน้าผากนี้เหรอ หน้าผากมันอยู่ที่ร้านไหนล่ะ วิ่งเข้าไปอีกนะ ไปหาร้านนั้น ร้านต่อไป นั่นน่ะถึงว่าประสบแล้วมันจะเข้าใจ เข้าใจหมด นี่คือปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน แล้วมันแน่นอน แก้ทุกข์ได้อย่างแน่นอน